คลินิกเวชกรรมเฉพาะทางผิวหนังมหานคร โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางจากสถาบันโรคผิวหนังแห่งประเทศไทย ได้รับการอนุมัติจากกระทรวงสาธารณะสุข
• การใช้ยาที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่ถูกขนาด ซึ่งนอกจากไม่ทำให้อาการดีขึ้นแล้ว จะยิ่งทำให้การกลับมาของโรครุนแรงขึ้น และ การรักษาจะยากขึ้นไปอีก ผู้ป่วยจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงการซื้อยา มาทานเองหรือยาที่ไม่ถูกต้อง
• อาการติดเชื้อซ้ำซ้อน ไม่ว่ามาจากการติดเชื้อใดก็ตาม อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้โรคสะเก็ดเงินกำเริบรุนแรงยิ่งขึ้นได้
• การแกะเกา กดทับที่ผิวหนัง ทำให้เกิดรอยถลอก เกิดบาดแผล ซึ่งรอยเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้ผื่นของโรคสะเก็ดเงินเกิดมาก
• ภาวะเครียด และสภาพจิตใจของผู้ป่วย เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีอิทธิพล ส่วนใหญ่ ผู้ป่วย มักมีความเครียด โกรธง่าย นอนไม่หลับ ยิ่งทำให้เกิดผื่นแดงคันมากขึ้น
• พฤติกรรม ที่เสี่ยงต่อการให้เกิดกระตุ้นอาการของโรค เช่น การดื่มแอลกอฮอลล์ การสูบบุหรี่
• สภาพอากาศ แสงแดด อากาศร้อนอบอ้าว หรืออากาศที่หนาวเย็น สามารถกระตุ้นให้อาการของโรคกำเริบ
• เจ็บ คัน มีอาการแสบร้อนตามผิวหนัง
• เป็นผื่นแดงนูน นูน เกิดการอักเสบของผิว ผิวแห้งมากจนแตกและมีเลือดออก
• หนังศีรษะลอกเป็นขุย
• มีผื่นแดง ตกสะเก็ดเป็นขุยสีขาว
• มีอาการปวดและบวมตามข้อ
• เล็บมือและเท้าหนาขึ้น เป็นรอยบุ๋ม หรือ จุดสีน้ำตาลใต้เล็บกำเริบ
เป็นโรคเชื้อราของผิวหนังชนิดหนึ่งที่เกิดจากเชื้อ “Malassezia furfur” ซึ่งเป็นเชื้อราที่พบได้ที่ผิวหนังตามธรรมชาติ ทำให้ผู้ป่วยมีผื่นขึ้นตามผิวหนัง โดยเฉพาะในผู้ที่มีเหงื่อออกมาก เช่น ผู้ที่ทำงานกลางแดดทำงานแบกหาม ผู้คนที่ชอบเล่นกีฬา หรือผู้ที่ใส่เสื้อผ้าที่อับเหงื่อเป็นเวลานาน ประเทศที่มีภูมิอากาศร้อนชื้นจะพบโรคเกลื้อนได้มากกว่าในประเทศที่มีภูมิอากาศเย็น ประเทศไทยจากสถิติผู้ป่วยพบว่ามีผู้ป่วยเป็นโรคนี้อยู่ในอันดับต้นๆ และพบได้บ่อย โดยเฉพาะในวัยหนุ่มสาว และมักพบโรคนี้ในช่วงฤดูร้อน
1. มีดวงขึ้นเป็นสีขาว แดง หรือน้ำตาล โดยจะมีสีเข้มหรืออ่อนกว่าผิวหนังปกติ
2. อาจขึ้นเป็นดวงเดียวหรือหลายดวง
3. สามารถเกิดบนร่างกายทุกส่วน แต่มักพบบริเวณลำตัว คอ ต้นแขน และหลัง
4. อาจทำให้ผิวแห้ง ตกสะเก็ด หรือคัน
รังแค เกิดจากการอักเสบของผิวหนังบริเวณศีรษะจึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดการหลุดร่วงของเส้นผมมากกว่าปกติ รังแคจะเป็นขุยขาวๆอยู่บนหนังศีรษะอันที่จริงๆแล้วรังแคก็คือสวนหนึ่งของหนังศีรษะที่หลุดลอกออกมาและมักหลุดร่วงมาพร้อมกับเส้นผมอยู่ตามเสื้อผ้าหรือเป็นแผ่นเล็กๆติดอยู่ที่เส้นผมบนศีรษะและถ้าปล่อยไว้ไม่ทำการดูแลรักษาอย่างถูกวิธีจะยิ่งเป็นสาเหตุทำให้เส้นผมหลุดร่วง
มากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ
1. มีสะเก็ดสีขาวหรือเหลือง ลักษณะเป็นแผ่นแบนและบางมันวาว มักพบบริเวณหนังศีรษะ เส้นผม หรือไหล่
2. มักจะพบว่าเป็นมากในช่วงฤดูหนาวและอาการจะดีขึ้นเมื่อเข้าสู่ฤดูร้อน
3. มีอาการคันศีรษะ หนังศีรษะมัน แดงหรือเป็นสะเก็ด
การเกิดสิวที่หลัง มักมีสาเหตุจากเหงื่อ ฮอร์โมน หรือการดูแลความสะอาดไม่เพียงพอ โดยเหงื่อที่ออกอาจทำให้แบคทีเรียเพิ่มขึ้น หากไม่รักษาความสะอาดจะเพิ่มโอกาสเกิดสิวมากขึ้น และอาจลุกลามไปจนมีรอยสิวแดงๆเต็มหลัง จนทำให้เป็นปัญหาที่คอยสร้างความกวนใจและทำให้รู้สึกไม่มั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันอีกด้วย
1. คนที่ออกกำลังกาย เพราะการออกกำลังกายทำให้เหงื่อไหล เกิดความอับชื้นในเสื้อผ้า จนเกิดการสะสมของแบคทีเรีย สิ่งสกปรก นำไปสู่การอุดตันของรูขุมขนและเกิดสิวนั่นเอง
2. คนที่ใส่ชุดนอนซ้ำๆ เพราะแผ่นหลังต้องสัมผัสกับชุดนอนตลอดเวลา ทำให้เกิดคราบเหงื่อและความอับชื้นสะสมมากขึ้น จนส่งผลให้เกิดสิวที่หลัง
3. คนที่ทานอาหารมันและอาหารทอด เป็นองค์ประกอบของการเกิดสิวที่หลัง เพราะอาหารเหล่านี้อุดมไปด้วยไขมันสูง ทำให้เกิดสภาวะผิวมัน เกิดการอุดตันในรูขุมขนจนเป็นสิวที่หลัง
สำหรับผื่นเซ็บเติร์มคือผื่นผิวหนังอักเสบชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยในสังคมไทย และยังไม่ทราบแน่ชัดถึงสาเหตุหลักในการเกิดโรค โดยจะมีตัวกระตุ้นที่จะทำให้เกิดได้ เช่น อากาศในหน้าร้อน ซึ่งโรคดังกล่าวมักมีระดับความรุนแรงที่แตกต่างกันออกไป ในอาการไม่รุนแรงจะมีลักษณะผื่นขึ้นเพียงเล็กน้อยและมีอาการคัน แต่หากรุนแรงจะมีผื่นขึ้นจำนวนมาก
1. โรคเซ็บเดิร์มจะมีลักษณะเป็นขุยลอกเป็นหย่อมๆ ปกติจะไม่มีอาการคัน แต่เมื่อเป็นมากจะมีผื่นแดงขึ้นบริเวณกว้าง ขุยหนาขึ้น คล้ายโรคสะเก็ดเงิน
2. โรคเซ็บเดิร์มเป็นโรคผิวหนังอักเสบที่ไม่ใช่โรคติดต่อ หากมีการสัมผัสผิวหนังคนที่เป็นโรคเซ็บเดิร์มจะไม่มีการติดต่อกันได้
3. ผิวมันเป็นแผ่น ปกคลุมด้วยสะเก็ดสีขาวหรือเหลือง อาจมีสะเก็ดแข็งบนศีรษะ ใบหู ใบหน้า หน้าอก รักแร้
4. มีอาการคัน แดง ผิวหนังลอกเป็นขุยสีขาวหรือสีเหลือง และผิวดูมันอย่างเห็นได้ชัด
5. เปลือกตาอักเสบ มีอาการแดงหรือมีสะเก็ดแข็งติด
6. อาจมีอาการปวดหรือคันร่วมด้วย
โรคผมร่วงเป็นหย่อมๆ ผมร่วงเป็นวงๆ หรือผมร่วงเป็นกระจุก (Alopecia Areta) สำหรับปัญหาผมร่วงเป็นหย่อม จะมีลักษณะเป็นวงคล้ายเหรียญ มีขอบเขตชัดเจน ซึ่งเป็นโรคที่พบได้ประมาณ 1.7%ของประชากร โดยพบมากในช่วงอายุประมาณ 15-30 ปี ซึ่งสาเหตุเกิดโรคนั้นยังไม่แน่ชัด อาจเกิดจากความผิดปกติของระบบ Autoimmune หรือเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน สร้างความเสียหายต่อรูขุมขนจนไม่สามารถผลิตเส้นผมขึ้นมาได้
1. สระผมบ่อยเกินไป
2. การหวีผมผิดวิธี
3. การดัด ย้อม ทำสีผม
4. ทานอาหารรสจัด
5. ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่
6. พันธุกรรม
โรคผื่นแพ้ (Atopic Dermatitis) คือ ภาวะผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่มักพบในคนที่มีภูมิแพ้ ลักษณะคือผิวแห้ง แดง คัน และลอกเป็นขุย โดยอาจเกิดซ้ำๆ และลามได้หลายบริเวณสาเหตุเกิดจากพันธุกรรมร่วมกับการตอบสนองของภูมิคุ้มกันผิดปกติ มักเริ่มในเด็กเล็ก แต่สามารถเป็นได้ทุกวัยและควรได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
1. พันธุกรรม : หากคนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้ เช่น หอบหืด หรือแพ้อากาศ จะมีโอกาสเป็นมากขึ้น
2. ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน : ทำให้ร่างกายตอบสนองต่อสารกระตุ้นมากเกินไป
3. สิ่งแวดล้อม เช่น ฝุ่น ความร้อน สารเคมี สบู่ น้ำหอม หรือไรฝุ่น
4. ภาวะผิวแห้ง : ผิวที่แห้งจะทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอ เกิดการระคายเคืองและติดเชื้อได้ง่าย
โรคงูสวัด (Shingles) เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากการกลับมากำเริบของ เชื้อไวรัสอีสุกอีใส (VZV) ซึ่งหลบซ่อนอยู่ในปมประสาทหลังเราหายจากอีสุกอีใส อาการจะเริ่มด้วยการปวดแสบปวดร้อนตามแนวเส้นประสาท ก่อนจะมีผื่นแดงและตุ่มน้ำใสเรียงเป็นแนว มักเกิดขึ้นที่ด้านใดด้านหนึ่งของร่างกายเท่านั้น โรคนี้มักเกิดกับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอลง เช่น ผู้สูงอายุ ความเครียด หรือการเจ็บป่วย การรักษาด้วยยาต้านไวรัสอย่างรวดเร็วมีความสำคัญในการป้องกันภาวะปวดเรื้อรัง (PHN) ตามมา
1. อายุที่เพิ่มขึ้น : เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป เนื่องจากภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติจะเสื่อมลงตามวัย
2. ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง : เกิดจากโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน, โรคเอสแอลอี (SLE), โรคมะเร็ง, หรือผู้ติดเชื้อเอชไอวี (HIV)
3. การใช้ยากดภูมิคุ้มกัน : เช่น ยาเคมีบำบัด, ยาสเตียรอยด์ในปริมาณสูงและต่อเนื่อง, หรือยาที่ใช้หลังการปลูกถ่ายอวัยวะ
4. ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ : ความเครียดทางร่างกายและจิตใจ, การนอนน้อย, การทำงานหนัก, หรือร่างกายอ่อนล้า อย่างรุนแรง จะกระตุ้นให้เชื้อไวรัสกำเริบได้ง่ายขึ้น
5. การบาดเจ็บหรือการผ่าตัดรุนแรง : การได้รับบาดเจ็บหรือการผ่าตัดใหญ่ในบางบริเวณ อาจกระตุ้นให้เชื้อไวรัสที่ปมประสาทบริเวณนั้น ๆ กำเริบขึ้นมาได้
โรคลมพิษ (Urticaria หรือ Hives) คือ ภาวะที่มีผื่นนูนแดงบนผิวหนังอย่างกะทันหัน มักมีอาการคันอย่างรุนแรง ผื่นลมพิษมีลักษณะเป็น ปื้นนูน (ปื้นนูนแดง) ที่ไม่มีขุย มีขนาดและรูปร่างแตกต่างกัน และสิ่งที่สำคัญคือผื่นมักจะยุบหายไปได้เองภายใน 24 ชั่วโมง โดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้ แต่ก็สามารถเกิดผื่นใหม่ขึ้นในตำแหน่งอื่นๆได้อีก โรคลมพิษเกิดจากการที่ร่างกายหลั่งสาร “ฮิสตามีน (Histamine)” ออกมาตอบสนองต่อปัจจัยกระตุ้นต่างๆ ทำให้หลอดเลือดฝอยขยายตัว และมีของเหลวซึมออกมาในผิวหนัง
1. สารก่อภูมิแพ้ : การแพ้สารจากภายนอก เช่น อาหาร (อาหารทะเล, ถั่ว), ยา, หรือ พิษแมลงกัดต่อย
2. การติดเชื้อ : การติดเชื้อในร่างกาย เช่น เชื้อไวรัส (หวัด), แบคทีเรีย, หรือเชื้อรา
3. ปัจจัยทางกายภาพ : การตอบสนองของผิวหนังต่อสิ่งกระตุ้นทางกายภาพ เช่น ความร้อน, ความเย็น, เหงื่อ, แสงแดด, หรือ แรงกดทับ/ขูดขีด
4. ภาวะภายใน : สภาวะของร่างกาย เช่น ความเครียด, การพักผ่อนน้อย, หรือโรคทางภูมิคุ้มกัน (โรคต่อมไทรอยด์, SLE)
5. ไม่ทราบสาเหตุ : ผู้ป่วยลมพิษเรื้อรังส่วนใหญ่มักจะไม่สามารถหาสาเหตุที่แน่ชัดได้
โรคด่างขาว (Vitiligo) คือ โรคผิวหนังที่เกิดจากการสูญเสียเซลล์ที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดสีผิว (Melanocyte) ทำให้เกิดเป็นรอยด่างสีขาวคล้ายสีน้ำนมหรือสีชอล์กบนผิวหนัง รอยด่างขาวนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกส่วนของร่างกาย และในบางรายอาจพบว่าขนหรือผมในบริเวณที่เป็นรอยด่างขาวก็เปลี่ยนเป็นสีขาวด้วยเช่นกัน
1. ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ (Autoimmunity) : เป็นสาเหตุหลักที่สันนิษฐาน โดยร่างกายเกิดการทำงานผิดพลาดและสร้างสารภูมิต้านทานมาโจมตีและทำลายเซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocyte) ของตัวเอง
2. พันธุกรรม : มีความเกี่ยวข้องทางพันธุกรรม หากมีคนในครอบครัวเป็นโรคด่างขาว จะมีความเสี่ยงเป็นโรคนี้มากขึ้น
3. ความสัมพันธ์กับโรคอื่น : โรคด่างขาวมักพบร่วมกับโรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเองชนิดอื่น ๆ เช่น โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ, โรคเบาหวาน, โรคโลหิตจางจากการขาดวิตามินบี 12
4. ปัจจัยกระตุ้น : การถูกกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อมภายนอกอาจทำให้อาการแย่ลงหรือกระตุ้นให้เกิดรอยโรคได้ เช่น การถูก แสงแดดจัด จนผิวไหม้ ความเครียดหรือความวิตกกังวล การสัมผัสกับสารเคมีอันตรายบางชนิด
โรคผื่นกุหลาบ หรือที่เรียกว่า Pityriasis Rosea (PR) เป็นโรคผิวหนังอักเสบชนิดหนึ่งที่ไม่รุนแรงและมักหายไปได้เอง โดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็นโรคนี้พบได้บ่อยในกลุ่มวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้น (ช่วงอายุ 10-35 ปี) และมักจะพบมากขึ้นในช่วงที่มีอากาศชื้นหรือช่วงเปลี่ยนฤดู
1. การติดเชื้อไวรัส สันนิษฐานว่าผื่นกุหลาบอาจเกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายต่อการติดเชื้อ Human Herpesvirus (HHV) ชนิดที่ 6 หรือ 7 ซึ่งเป็นไวรัสกลุ่มเดียวกับเริมแต่ไม่ใช่ตัวเดียวกัน และไม่ได้ทำให้เกิดโรคเริมหรืออีสุกอีใส ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคล้ายไข้หวัดนำมาก่อนที่ผื่นจะขึ้น เช่น มีไข้ต่ำๆ, ปวดศีรษะ, หรือปวดเมื่อยตามตัว
2. ภาวะภูมิคุ้มกันและสภาวะร่างกาย – การมีภูมิคุ้มกันร่างกายที่อ่อนแอลงจากความเจ็บป่วย ความเครียด หรือการพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดผื่น และความเครียดทางร่างกายหรือจิตใจมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระตุ้นให้เกิดผื่นได้
3. ปัจจัยสิ่งแวดล้อมและยา : มักพบว่ามีการระบาดของโรคบ่อยขึ้นในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง, ฤดูฝน, หรือมีความชื้นสูง และมีรายงานว่าผื่นที่มีลักษณะคล้ายผื่นกุหลาบอาจเกิดขึ้นหลังจากการใช้ยาบางประเภท เช่น ยาลดความดันโลหิตบางกลุ่ม, ยาปฏิชีวนะบางชนิด หรือยารักษาสิวบางตัว ซึ่งโรคผื่นกุหลาบ ไม่เป็นโรคติดต่อ ผ่านการสัมผัส และมักจะหายไปได้เองภายใน 2-3 เดือน
• การใช้ยาที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่ถูกขนาด ซึ่งนอกจากไม่ทำให้อาการดีขึ้นแล้ว จะยิ่งทำให้การกลับมาของโรครุนแรงขึ้น และ การรักษาจะยากขึ้นไปอีก ผู้ป่วยจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงการซื้อยา มาทานเองหรือยาที่ไม่ถูกต้อง
• อาการติดเชื้อซ้ำซ้อน ไม่ว่ามาจากการติดเชื้อใดก็ตาม อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้โรคสะเก็ดเงินกำเริบรุนแรงยิ่งขึ้นได้
• การแกะเกา กดทับที่ผิวหนัง ทำให้เกิดรอยถลอก เกิดบาดแผล ซึ่งรอยเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้ผื่นของโรคสะเก็ดเงินเกิดมาก
• ภาวะเครียด และสภาพจิตใจของผู้ป่วย เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีอิทธิพล ส่วนใหญ่ ผู้ป่วย มักมีความเครียด โกรธง่าย นอนไม่หลับ ยิ่งทำให้เกิดผื่นแดงคันมากขึ้น
• พฤติกรรม ที่เสี่ยงต่อการให้เกิดกระตุ้นอาการของโรค เช่น การดื่มแอลกอฮอลล์ การสูบบุหรี่
• สภาพอากาศ แสงแดด อากาศร้อนอบอ้าว หรืออากาศที่หนาวเย็น สามารถกระตุ้นให้อาการของโรคกำเริบ
• เจ็บ คัน มีอาการแสบร้อนตามผิวหนัง
• เป็นผื่นแดงนูน นูน เกิดการอักเสบของผิว ผิวแห้งมากจนแตกและมีเลือดออก
• หนังศีรษะลอกเป็นขุย
• มีผื่นแดง ตกสะเก็ดเป็นขุยสีขาว
• มีอาการปวดและบวมตามข้อ
• เล็บมือและเท้าหนาขึ้น เป็นรอยบุ๋ม หรือ จุดสีน้ำตาลใต้เล็บกำเริบ
เป็นโรคเชื้อราของผิวหนังชนิดหนึ่งที่เกิดจากเชื้อ “Malassezia furfur” ซึ่งเป็นเชื้อราที่พบได้ที่ผิวหนังตามธรรมชาติ ทำให้ผู้ป่วยมีผื่นขึ้นตามผิวหนัง โดยเฉพาะในผู้ที่มีเหงื่อออกมาก เช่น ผู้ที่ทำงานกลางแดดทำงานแบกหาม ผู้คนที่ชอบเล่นกีฬา หรือผู้ที่ใส่เสื้อผ้าที่อับเหงื่อเป็นเวลานาน ประเทศที่มีภูมิอากาศร้อนชื้นจะพบโรคเกลื้อนได้มากกว่าในประเทศที่มีภูมิอากาศเย็น ประเทศไทยจากสถิติผู้ป่วยพบว่ามีผู้ป่วยเป็นโรคนี้อยู่ในอันดับต้นๆ และพบได้บ่อย โดยเฉพาะในวัยหนุ่มสาว และมักพบโรคนี้ในช่วงฤดูร้อน
1. มีดวงขึ้นเป็นสีขาว แดง หรือน้ำตาล โดยจะมีสีเข้มหรืออ่อนกว่าผิวหนังปกติ
2. อาจขึ้นเป็นดวงเดียวหรือหลายดวง
3. สามารถเกิดบนร่างกายทุกส่วน แต่มักพบบริเวณลำตัว คอ ต้นแขน และหลัง
4. อาจทำให้ผิวแห้ง ตกสะเก็ด หรือคัน
รังแค เกิดจากการอักเสบของผิวหนังบริเวณศีรษะจึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดการหลุดร่วงของเส้นผมมากกว่าปกติ รังแคจะเป็นขุยขาวๆอยู่บนหนังศีรษะอันที่จริงๆแล้วรังแคก็คือสวนหนึ่งของหนังศีรษะที่หลุดลอกออกมาและมักหลุดร่วงมาพร้อมกับเส้นผมอยู่ตามเสื้อผ้าหรือเป็นแผ่นเล็กๆติดอยู่ที่เส้นผมบนศีรษะและถ้าปล่อยไว้ไม่ทำการดูแลรักษาอย่างถูกวิธีจะยิ่งเป็นสาเหตุทำให้เส้นผมหลุดร่วง
มากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ
1. มีสะเก็ดสีขาวหรือเหลือง ลักษณะเป็นแผ่นแบนและบางมันวาว มักพบบริเวณหนังศีรษะ เส้นผม หรือไหล่
2. มักจะพบว่าเป็นมากในช่วงฤดูหนาวและอาการจะดีขึ้นเมื่อเข้าสู่ฤดูร้อน
3. มีอาการคันศีรษะ หนังศีรษะมัน แดงหรือเป็นสะเก็ด
การเกิดสิวที่หลัง มักมีสาเหตุจากเหงื่อ ฮอร์โมน หรือการดูแลความสะอาดไม่เพียงพอ โดยเหงื่อที่ออกอาจทำให้แบคทีเรียเพิ่มขึ้น หากไม่รักษาความสะอาดจะเพิ่มโอกาสเกิดสิวมากขึ้น และอาจลุกลามไปจนมีรอยสิวแดงๆเต็มหลัง จนทำให้เป็นปัญหาที่คอยสร้างความกวนใจและทำให้รู้สึกไม่มั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันอีกด้วย
1. คนที่ออกกำลังกาย เพราะการออกกำลังกายทำให้เหงื่อไหล เกิดความอับชื้นในเสื้อผ้า จนเกิดการสะสมของแบคทีเรีย สิ่งสกปรก นำไปสู่การอุดตันของรูขุมขนและเกิดสิวนั่นเอง
2. คนที่ใส่ชุดนอนซ้ำๆ เพราะแผ่นหลังต้องสัมผัสกับชุดนอนตลอดเวลา ทำให้เกิดคราบเหงื่อและความอับชื้นสะสมมากขึ้น จนส่งผลให้เกิดสิวที่หลัง
3. คนที่ทานอาหารมันและอาหารทอด เป็นองค์ประกอบของการเกิดสิวที่หลัง เพราะอาหารเหล่านี้อุดมไปด้วยไขมันสูง ทำให้เกิดสภาวะผิวมัน เกิดการอุดตันในรูขุมขนจนเป็นสิวที่หลัง
สำหรับผื่นเซ็บเติร์มคือผื่นผิวหนังอักเสบชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยในสังคมไทย และยังไม่ทราบแน่ชัดถึงสาเหตุหลักในการเกิดโรค โดยจะมีตัวกระตุ้นที่จะทำให้เกิดได้ เช่น อากาศในหน้าร้อน ซึ่งโรคดังกล่าวมักมีระดับความรุนแรงที่แตกต่างกันออกไป ในอาการไม่รุนแรงจะมีลักษณะผื่นขึ้นเพียงเล็กน้อยและมีอาการคัน แต่หากรุนแรงจะมีผื่นขึ้นจำนวนมาก
1. โรคเซ็บเดิร์มจะมีลักษณะเป็นขุยลอกเป็นหย่อมๆ ปกติจะไม่มีอาการคัน แต่เมื่อเป็นมากจะมีผื่นแดงขึ้นบริเวณกว้าง ขุยหนาขึ้น คล้ายโรคสะเก็ดเงิน
2. โรคเซ็บเดิร์มเป็นโรคผิวหนังอักเสบที่ไม่ใช่โรคติดต่อ หากมีการสัมผัสผิวหนังคนที่เป็นโรคเซ็บเดิร์มจะไม่มีการติดต่อกันได้
3. ผิวมันเป็นแผ่น ปกคลุมด้วยสะเก็ดสีขาวหรือเหลือง อาจมีสะเก็ดแข็งบนศีรษะ ใบหู ใบหน้า หน้าอก รักแร้
4. มีอาการคัน แดง ผิวหนังลอกเป็นขุยสีขาวหรือสีเหลือง และผิวดูมันอย่างเห็นได้ชัด
5. เปลือกตาอักเสบ มีอาการแดงหรือมีสะเก็ดแข็งติด
6. อาจมีอาการปวดหรือคันร่วมด้วย
โรคผมร่วงเป็นหย่อมๆ ผมร่วงเป็นวงๆ หรือผมร่วงเป็นกระจุก (Alopecia Areta) สำหรับปัญหาผมร่วงเป็นหย่อม จะมีลักษณะเป็นวงคล้ายเหรียญ มีขอบเขตชัดเจน ซึ่งเป็นโรคที่พบได้ประมาณ 1.7%ของประชากร โดยพบมากในช่วงอายุประมาณ 15-30 ปี ซึ่งสาเหตุเกิดโรคนั้นยังไม่แน่ชัด อาจเกิดจากความผิดปกติของระบบ Autoimmune หรือเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน สร้างความเสียหายต่อรูขุมขนจนไม่สามารถผลิตเส้นผมขึ้นมาได้
1. สระผมบ่อยเกินไป
2. การหวีผมผิดวิธี
3. การดัด ย้อม ทำสีผม
4. ทานอาหารรสจัด
5. ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่
6. พันธุกรรม
โรคผื่นแพ้ (Atopic Dermatitis) คือ ภาวะผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่มักพบในคนที่มีภูมิแพ้ ลักษณะคือผิวแห้ง แดง คัน และลอกเป็นขุย โดยอาจเกิดซ้ำๆ และลามได้หลายบริเวณสาเหตุเกิดจากพันธุกรรมร่วมกับการตอบสนองของภูมิคุ้มกันผิดปกติ มักเริ่มในเด็กเล็ก แต่สามารถเป็นได้ทุกวัยและควรได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
1. พันธุกรรม : หากคนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้ เช่น หอบหืด หรือแพ้อากาศ จะมีโอกาสเป็นมากขึ้น
2. ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน : ทำให้ร่างกายตอบสนองต่อสารกระตุ้นมากเกินไป
3. สิ่งแวดล้อม เช่น ฝุ่น ความร้อน สารเคมี สบู่ น้ำหอม หรือไรฝุ่น
4. ภาวะผิวแห้ง : ผิวที่แห้งจะทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอ เกิดการระคายเคืองและติดเชื้อได้ง่าย
โรคงูสวัด (Shingles) เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากการกลับมากำเริบของ เชื้อไวรัสอีสุกอีใส (VZV) ซึ่งหลบซ่อนอยู่ในปมประสาทหลังเราหายจากอีสุกอีใส อาการจะเริ่มด้วยการปวดแสบปวดร้อนตามแนวเส้นประสาท ก่อนจะมีผื่นแดงและตุ่มน้ำใสเรียงเป็นแนว มักเกิดขึ้นที่ด้านใดด้านหนึ่งของร่างกายเท่านั้น โรคนี้มักเกิดกับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอลง เช่น ผู้สูงอายุ ความเครียด หรือการเจ็บป่วย การรักษาด้วยยาต้านไวรัสอย่างรวดเร็วมีความสำคัญในการป้องกันภาวะปวดเรื้อรัง (PHN) ตามมา
1. อายุที่เพิ่มขึ้น : เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป เนื่องจากภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติจะเสื่อมลงตามวัย
2. ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง : เกิดจากโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน, โรคเอสแอลอี (SLE), โรคมะเร็ง, หรือผู้ติดเชื้อเอชไอวี (HIV)
3. การใช้ยากดภูมิคุ้มกัน : เช่น ยาเคมีบำบัด, ยาสเตียรอยด์ในปริมาณสูงและต่อเนื่อง, หรือยาที่ใช้หลังการปลูกถ่ายอวัยวะ
4. ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ : ความเครียดทางร่างกายและจิตใจ, การนอนน้อย, การทำงานหนัก, หรือร่างกายอ่อนล้า อย่างรุนแรง จะกระตุ้นให้เชื้อไวรัสกำเริบได้ง่ายขึ้น
5. การบาดเจ็บหรือการผ่าตัดรุนแรง : การได้รับบาดเจ็บหรือการผ่าตัดใหญ่ในบางบริเวณ อาจกระตุ้นให้เชื้อไวรัสที่ปมประสาทบริเวณนั้น ๆ กำเริบขึ้นมาได้
โรคลมพิษ (Urticaria หรือ Hives) คือ ภาวะที่มีผื่นนูนแดงบนผิวหนังอย่างกะทันหัน มักมีอาการคันอย่างรุนแรง ผื่นลมพิษมีลักษณะเป็น ปื้นนูน (ปื้นนูนแดง) ที่ไม่มีขุย มีขนาดและรูปร่างแตกต่างกัน และสิ่งที่สำคัญคือผื่นมักจะยุบหายไปได้เองภายใน 24 ชั่วโมง โดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้ แต่ก็สามารถเกิดผื่นใหม่ขึ้นในตำแหน่งอื่นๆได้อีก โรคลมพิษเกิดจากการที่ร่างกายหลั่งสาร “ฮิสตามีน (Histamine)” ออกมาตอบสนองต่อปัจจัยกระตุ้นต่างๆ ทำให้หลอดเลือดฝอยขยายตัว และมีของเหลวซึมออกมาในผิวหนัง
1. สารก่อภูมิแพ้ : การแพ้สารจากภายนอก เช่น อาหาร (อาหารทะเล, ถั่ว), ยา, หรือ พิษแมลงกัดต่อย
2. การติดเชื้อ : การติดเชื้อในร่างกาย เช่น เชื้อไวรัส (หวัด), แบคทีเรีย, หรือเชื้อรา
3. ปัจจัยทางกายภาพ : การตอบสนองของผิวหนังต่อสิ่งกระตุ้นทางกายภาพ เช่น ความร้อน, ความเย็น, เหงื่อ, แสงแดด, หรือ แรงกดทับ/ขูดขีด
4. ภาวะภายใน : สภาวะของร่างกาย เช่น ความเครียด, การพักผ่อนน้อย, หรือโรคทางภูมิคุ้มกัน (โรคต่อมไทรอยด์, SLE)
5. ไม่ทราบสาเหตุ : ผู้ป่วยลมพิษเรื้อรังส่วนใหญ่มักจะไม่สามารถหาสาเหตุที่แน่ชัดได้
โรคด่างขาว (Vitiligo) คือ โรคผิวหนังที่เกิดจากการสูญเสียเซลล์ที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดสีผิว (Melanocyte) ทำให้เกิดเป็นรอยด่างสีขาวคล้ายสีน้ำนมหรือสีชอล์กบนผิวหนัง รอยด่างขาวนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกส่วนของร่างกาย และในบางรายอาจพบว่าขนหรือผมในบริเวณที่เป็นรอยด่างขาวก็เปลี่ยนเป็นสีขาวด้วยเช่นกัน
1. ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ (Autoimmunity) : เป็นสาเหตุหลักที่สันนิษฐาน โดยร่างกายเกิดการทำงานผิดพลาดและสร้างสารภูมิต้านทานมาโจมตีและทำลายเซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocyte) ของตัวเอง
2. พันธุกรรม : มีความเกี่ยวข้องทางพันธุกรรม หากมีคนในครอบครัวเป็นโรคด่างขาว จะมีความเสี่ยงเป็นโรคนี้มากขึ้น
3. ความสัมพันธ์กับโรคอื่น : โรคด่างขาวมักพบร่วมกับโรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเองชนิดอื่น ๆ เช่น โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ, โรคเบาหวาน, โรคโลหิตจางจากการขาดวิตามินบี 12
4. ปัจจัยกระตุ้น : การถูกกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อมภายนอกอาจทำให้อาการแย่ลงหรือกระตุ้นให้เกิดรอยโรคได้ เช่น การถูก แสงแดดจัด จนผิวไหม้ ความเครียดหรือความวิตกกังวล การสัมผัสกับสารเคมีอันตรายบางชนิด
โรคผื่นกุหลาบ หรือที่เรียกว่า Pityriasis Rosea (PR) เป็นโรคผิวหนังอักเสบชนิดหนึ่งที่ไม่รุนแรงและมักหายไปได้เอง โดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็นโรคนี้พบได้บ่อยในกลุ่มวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้น (ช่วงอายุ 10-35 ปี) และมักจะพบมากขึ้นในช่วงที่มีอากาศชื้นหรือช่วงเปลี่ยนฤดู
1. การติดเชื้อไวรัส สันนิษฐานว่าผื่นกุหลาบอาจเกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายต่อการติดเชื้อ Human Herpesvirus (HHV) ชนิดที่ 6 หรือ 7 ซึ่งเป็นไวรัสกลุ่มเดียวกับเริมแต่ไม่ใช่ตัวเดียวกัน และไม่ได้ทำให้เกิดโรคเริมหรืออีสุกอีใส ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคล้ายไข้หวัดนำมาก่อนที่ผื่นจะขึ้น เช่น มีไข้ต่ำๆ, ปวดศีรษะ, หรือปวดเมื่อยตามตัว
2. ภาวะภูมิคุ้มกันและสภาวะร่างกาย : การมีภูมิคุ้มกันร่างกายที่อ่อนแอลงจากความเจ็บป่วย ความเครียด หรือการพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดผื่น และความเครียดทางร่างกายหรือจิตใจมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระตุ้นให้เกิดผื่นได้
3. ปัจจัยสิ่งแวดล้อมและยา : มักพบว่ามีการระบาดของโรคบ่อยขึ้นในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง, ฤดูฝน, หรือมีความชื้นสูง และมีรายงานว่าผื่นที่มีลักษณะคล้ายผื่นกุหลาบอาจเกิดขึ้นหลังจากการใช้ยาบางประเภท เช่น ยาลดความดันโลหิตบางกลุ่ม, ยาปฏิชีวนะบางชนิด หรือยารักษาสิวบางตัว ซึ่งโรคผื่นกุหลาบ ไม่เป็นโรคติดต่อ ผ่านการสัมผัส และมักจะหายไปได้เองภายใน 2-3 เดือน
Metropolis Skin Clinic (MSC) ให้บริการรักษาโรคผิวหนังโดยทีมแพทย์
จากสถาบันโรคผิวหนังชั้นนำของประเทศไทย พร้อมใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยี
ที่ได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อมอบผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยแก่
ผู้ป่วยทุกคน คุณสามารถเยี่ยมชมเพื่อขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการรักษา
เฉพาะบุคคลและเทคนิคการดูแลผิวที่ทันสมัย.

สเปรย์รักษาสิวอักเสบบริเวณร่างกาย และหลัง รับรองโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เฉพาะทางด้านผิวหนัง

คอลลาเจนเจลบริสุทธิ์ กระชับผิว และลดริ้นรอยบนใบหน้า รับรองโดย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านผิวหนัง

พาวเดอร์โลชั่นรักษาสิวบริเวณร่างกาย ช่วยลดการอักเสบของสิวที่หลัง รับรองโดย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านผิวหนัง

สเปรย์รักษาสิวอักเสบบริเวณร่างกาย และหลัง รับรองโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เฉพาะทางด้านผิวหนัง

คอลลาเจนเจลบริสุทธิ์ กระชับผิว และลดริ้นรอยบนใบหน้า รับรองโดย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านผิวหนัง

พาวเดอร์โลชั่นรักษาสิวบริเวณร่างกาย ช่วยลดการอักเสบของสิวที่หลัง รับรองโดย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านผิวหนัง